เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต. หนองกวาง อ. โพธาราม จ. ราชบุรี
ฟังธรรมเนาะ เราปรารถนาบุญกุศลกัน เราพยายามทำบุญกุศลเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม เราปรารถนาบุญกุศลแต่เราไม่รู้จักกิเลส พอคำว่ากิเลสๆ เราก็ว่ามันน่าเบื่อ คำก็กิเลสสองคำก็กิเลส เราได้แต่ชื่อมันแต่เราไม่รู้จักมันไง
คำว่ากิเลส คำว่าบุญกุศลต่างๆ มันก็เป็นชื่อทั้งนั้นแหละ แต่ความเป็นจริงเนื้อหาสาระมันอยู่ในใจของเรา คำว่าบุญกุศลเป็นแรงปรารถนาเพราะว่าสิ่งที่ดี เราก็ปรารถนาสิ่งที่เป็นคุณงามความดี ปรารถนาความร่มเย็นเป็นสุข แต่คำว่ากิเลสเราไม่ต้องการมัน พอเราไม่ต้องการมัน แต่เนื้อแท้เนื้อหาสาระคือมันอยู่กับใจของเรา แต่เราไม่เข้าใจไง
คำว่ากิเลส.. กิเลสคือความพอใจของเรา ทีนี้เราไปทำบุญกุศลกัน เราประพฤติปฏิบัติกัน เราก็อยากได้คุณงามความดี คุณงามความดีถ้ามันเจือไปด้วยกิเลสมันจะเข้าถึงหัวใจเราไม่ได้ แต่ถ้ามันเป็นความจริง ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงของมัน เราต้องระงับกิเลสของเราก่อน การระงับกิเลสของเรา เห็นไหม ถึงต้องพยายามทำความสงบของใจ ใจสงบนั่นก็คือกิเลสมันสงบตัวลงเฉยๆ เท่านั้น แต่ไม่ได้ฆ่าไม่ได้แกงมัน
สมัยก่อนพุทธกาล ฤๅษีชีไพรเขาทำให้กิเลสสงบตัวลงได้ เพราะเขาทำฌานสมาบัติได้ เขาทำสมาธิได้ เขาระลึกอดีตชาติได้ แม้แต่เขาทำกิเลสสงบตัวลงเขาเห็นตัวตนของเขา แต่เขาไม่มีวิธีการกระทำของเขา แต่ในปัจจุบันนี้เรามีศาสนาพุทธ.. พุทธศาสนา พุทธะ ! ศาสนาพุทธศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาของใคร ปัญญาของกิเลสทั้งนั้น
เวลาทำบุญกุศลกัน ทุกคนบ่นมากว่าเราทำคุณงามความดีมหาศาลเลย ทำไมเราไม่ประสบความสำเร็จ ความดีเราได้แล้วนะ เราได้จากการกระทำนั้น แต่กิเลสมันอยากได้มากกว่านั้น กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันคาดหมาย ดูผู้ที่บวชใหม่ ทุกคนคิดว่าพระอริยบุคคล พระอรหันต์นี่จะเหาะเหินเดินฟ้า มันคิดว่าพระอรหันต์เหมือนหนังจีนที่มีฤทธิ์มีเดชอย่างนั้น
นั่นเรียกฌานโลกีย์ ! ฌานโลกีย์นั้นมันเสื่อมได้ มันเกิดขึ้นได้ มันเสื่อมได้ พระอรหันต์คือการชำระถอดถอนกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของท่าน ขององค์ไหนก็แล้วแต่มันถอดถอนใจดวงนั้น วิธีการถอดถอนถอดถอนอย่างไร ถ้าไม่มีการถอดถอน เห็นไหม เราพูดกันไปมันก็เหมือนกิเลสสงบตัวลง
คำว่ากิเลสสงบตัวลงนี่มันมีโอกาสให้เราเป็นกลาง มีโอกาสให้เราได้แก้ไขนะ ให้เราคิดของเราตามวุฒิภาวะของเรา ถ้ามันไม่ได้คิดโดยวุฒิภาวะของเรา มันคิดโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราถึงน้อยเนื้อต่ำใจกัน.. ถ้าพูดถึงโดยหลักธรรม การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยสมบัติ การเกิดเป็นมนุษย์เพราะอะไร เพราะจิตนี้มันต้องเกิดโดยธรรมชาติของมัน
แต่เกิดแล้วทุกข์ยากขนาดไหน เกิดแล้วมีความร่มเย็นเป็นสุขขนาดไหน นั้นเป็นอำนาจวาสนาของแต่ละบุคคลที่สร้างมา เห็นไหม มามืดไปสว่าง มาสว่างไปมืด มามืดไปมืด มาสว่างไปสว่าง บางคนทำคุณงามความดีมาสว่างไง มานี่ร่มเย็นเป็นสุขมาก เขาทำบุญกุศลของเขา นี่เขาก็จะมีความร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป.. มาสว่างไปมืด มีความร่มเย็นเป็นสุขแต่มาทุกข์ระกำลำบากตอนสุดท้าย เห็นไหม นี่มันเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงอย่างนี้มันเปลี่ยนแปลงโดยอำนาจของกรรม อำนาจของการกระทำ แต่ในปัจจุบันนี้เราจะเปลี่ยนแปลง เราตั้งใจตรงนี้เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา เรามีจิตใจของเรา อย่างเช่น ทำบุญกุศลนี่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันต้องการของมัน เวลาเราฟังธรรม ทุกคนก็รู้ว่าตัวเองฟังธรรมมีปัญญา นี่มันเป็นทิฐิมานะของแต่ละบุคคลนะ
รากเหง้าของจริตนิสัย รากเหง้าของกิเลสที่มันออกมาจากใจ มันตีค่าของมันโดยความพอใจของมัน เวลาไปวัดก็เอาแต่ความเห็นของตัวเข้าไปเปรียบเทียบ ความเห็นของตัวคือความถูกต้อง แล้วถ้าพระนะเขาจับทางได้นะเขาก็เยินยอ พอเยินยอเข้าไปนี่กิเลสมันก็พองตัว ก็คิดว่าเป็นธรรมนั่นล่ะ เพราะมันพอใจ
กิเลสเขาเลี้ยงจนตัวอ้วนๆ มันยังคิดว่านี่เป็นธรรม เห็นไหม กิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้น ถ้าเป็นธรรมนะมันต้องถากต้องถาง นี่ไม้มันคด.. ดูสิ ไม้ตรงกับไม้คดที่วางคู่กัน ตัวไม้มันรู้ว่ามันคดหรือมันตรงไหม ไม้ตรงมันก็ตรงของมันใช่ไหม แต่ไม้คดมันก็คดของมัน มันก็ว่ามันถูกทั้งคู่ล่ะ เพราะมันรู้สำนึกในตัวของไม้เอง
นี่ก็เหมือนกัน ทิฐิมานะของเรา ถ้าเราเป็นไม้คด เราก็เห็นว่าความคดนั้นคือความถูกต้อง แล้วมีคนมาเยินยอว่าความคดนี้ถูกต้อง เราก็คดไปทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าไม้ตรง เห็นไหม ไม้มันตรงมันจะตรงได้อย่างไร ตรงอันนี้มันเป็นอำนาจวาสนาของเขา แต่ไม้มันคดจะให้ตรงมันต้องถากมันต้องถาง การถากการถางนี่แหละมันเป็นต่อสู้กับเรา เป็นการตั้งสติปัญญาขึ้นมาจะถอดถอนเรา
นี่ความเคยใจ การฝืนความรู้สึก การฝืนความคิด การฝืนของเรานั่นคือฝืนกิเลสทั้งหมด เพราะกิเลสมันเป็นนามธรรม มันแสดงตัวออกมาเองไม่ได้ มันต้องอาศัยขันธ์ ๕ รูป รส กลิ่น เสียง แล้วมันอาศัยสิ่งนี้ออกไปหาเหยื่อ ทีนี้มันอาศัยรูป รส กลิ่น เสียง ไปหาเหยื่อ เราก็ต้องต่อสู้ยับยั้งกับรูป รส กลิ่น เสียงไง
ความรู้สึก ความนึกคิดของเรา ความต้องการของเรานี่เราต้องยับยั้งมัน ถ้าเราไม่ยับยั้งมัน เห็นไหม นั่นล่ะถ้ากิเลสมันไม่มีเครื่องมือออกไปหาเหยื่อ พอกิเลสมันสงบตัวลงไป สิ่งที่เป็นรูป รส กลิ่น เสียง มันเป็นธรรมชาติของมัน มันมีของมันโดยธรรมชาติของมัน แต่เพราะมันมีกิเลสไปยุแหย่มัน เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากไปเอามันมาใช้งานใช่ไหม แต่พอเราใช้สติปัญญาเข้าไป ทำให้กิเลสมันยุบตัวลง มันก็เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นล่ะ
เวลาพระอรหันต์ที่สิ้นกิเลสแล้ว ภาราหะเว ปัญจักขันธา.. นี่ขันธ์ ๕ เป็นภาระ ดูสิ มันสะอาดบริสุทธิ์แล้วยังเป็นภาระเลย ของที่ไม่มีชีวิต ของที่เป็นสสาร ของที่เป็นวัตถุเราก็ต้องบริหารจัดการมันใช่ไหม ขันธ์ ๕ เราก็ต้องบริหารจัดการมันใช่ไหม มันเป็นภาระไหม แต่ถ้ามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันบอกเป็นของเราๆๆ มันยึดมั่นถือมั่นแล้วเอาอันนี้ไปหาเหยื่อ เอาไปหาผลประโยชน์ของมัน
นี่เราบอกคำว่ากิเลสมันน่าเบื่อ แต่คำว่ากิเลสก็คือตัณหาความทะยานอยากที่มันดิ้นรนในใจเรานี่ล่ะ มันทำบุญแล้วมันก็คาดหมายของมันไป แต่ถ้ามันเป็นบุญกุศลโดยสัจธรรม เห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกทำบุญนี่โยนทิ้งเหว การทิ้งเหวได้บุญมากที่สุด เพราะมีเจตนา เราทำบุญแล้วเราวางก็จบ แต่ถ้าเราไม่ใช่ทิ้งเหวใช่ไหม มันพิรี้พิไร มันโอ้โฮ..
เหมือนกับเขาทำบุญกัน เห็นไหม เขาทำบุญปิดทองหลังพระนี่เขาได้บุญกุศลเต็มที่เลย แต่ของเราถ้าทำบุญเสร็จแล้วเราต้องขึ้นป้าย ๕ ชั้น ป้ายใหญ่โต นั่นน่ะมันทอนบุญไปเยอะนะ ทอนบุญเพราะอะไร เพราะเราตักตวงผลประโยชน์ตรงนี้ แต่ถ้ามันปิดทองหลังพระนั่นน่ะมันสะอาดบริสุทธิ์ เพราะปิดทองหลังพระ
นี่ไงขันธ์ ๕ ภาราหะเว ปัญจักขันธา ขันธ์เป็นธรรมชาติของมัน ความคิดเป็นธรรมชาติของมัน ทุกอย่างเป็นธรรมชาติของมัน แต่ความต้องการ โธ่.. หน้าตาใครก็อยากได้นะ แต่คำว่าหน้าตาถ้ามันได้มาโดยธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีหน้าตาไหม เรากราบไหว้ครูบาอาจารย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะอะไร เพราะคุณงามความดีของท่าน เพราะว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิมา ท่านต่อสู้ ท่านสร้างบุญญาธิการเป็นพระโพธิสัตว์
จิตของคนนี่มันเหมือนพันธุกรรมทางจิต จิตมันได้สะสมมา ได้ทำคุณงามความดีมามันแต่งพันธุกรรมมันมาแต่ละภพแต่ละชาติ นี่ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย กว่ามันจะแต่งพันธุกรรมมาจนพร้อมที่จะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลองย้อนกลับไปว่ามันทุกข์ยากแค่ไหน ท่านเกิดมาแล้วท่านวางธรรมวินัยไว้ให้เรานี่ท่านได้หน้าตาไหม ไม่ใช่ได้หน้าตา ท่านไม่ต้องการเลย
อานนท์ ไม่มีกำมือในเรา เราแบตลอดนะ ธรรมวินัยที่เราแสดงไว้แล้วนี่สะอาดบริสุทธิ์ ทุกคนจะตักตวงเอา
ไม่มีกำมือในเราคือท่านไม่ต้องการหน้าตาเลย แต่มันเป็นไปโดยธรรมชาติใช่ไหม มันเป็นไปโดยคุณงามความดีของท่านใช่ไหม มันเป็นไปเพราะว่าเราระลึกถึงคุณของท่านใช่ไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่พุทธคุณ.. เมตตาธรรม ปัญญาคุณต่างๆ เราระลึกถึงเอง มันไม่ใช่หน้าตา มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริงที่เราเคารพบูชา แต่ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันไม่มีอะไรในใจมันเลย ใจมันแห้งผาก มันบอกมันชุ่มชื่น มันมีความสุข แต่ใจมันแห้งผาก
เราอยากได้หน้าตามันถึงไม่ได้อะไรเลย เราทำบุญทิ้งเหว เราทำคุณงามความดีของเรา ความดีก็คือความดี มันจะทุกข์มันจะยากขนาดไหนต้องฝืน ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ ดูปลามันไปไข่สิ มันขึ้นจากทะเลมานะ มันขึ้นไปต้นน้ำ มันว่ายน้ำเป็นพันๆ กิโลเพื่อจะไปดำรงเผ่าพันธุ์ของมัน แล้วเราเป็นมนุษย์ เราเป็นผู้ที่มีปัญญา เราจะแก้ไขจิตของเราเราไม่ทวนกระแสเข้าไปในความรู้สึกของเรา เราไม่ต่อต้านมัน เราไม่ทำขึ้นมาเราจะได้อะไรมา
ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มีความเพียร ให้มีความอุตสาหะ ให้มีการกระทำของเรา ไม่ใช่ปลาตาย โอ้โฮ.. ปลาตายนิพพาน นอนให้น้ำมันพัดไปนี่มันปลาตาย ปลาตายกิเลสมันพาไปเป็นปลาเน่า ถ้าเราจะเป็นปลาเป็นเราต้องทวนกระแส มันจะทุกข์มันจะยากก็ต้องทน นี่สิ่งที่ทำบุญกุศลต้องขวนต้องขวาย ทำไมเราต้องสวดมนต์สวดพรล่ะ ก่อนนอนใครทำวัตรสวดมนต์นะ แล้วพอไม่ทำซักวันหนึ่งสิมันจะแปลกๆ เลย เห็นไหม เพราะเราทำจนเคยชิน
นี่ก็เหมือนกัน ฝืนไปบ่อยๆ เข้า ฝืนจนไม่ต้องฝืน มันเป็นธรรมชาติ แล้วถ้าถึงได้สัจธรรมขึ้นมาแล้วนะ มันเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงเกิดจากไหน ความจริงเกิดจากการกระทำ เกิดจากมรรคญาณ ไม่ใช่เกิดจากปลาตาย ปลาตายเขาเอาไปทำปลาเน่า เขาจะเอาไปทำน้ำปลา แต่ปลาเป็นมันมีชีวิต มันจะมีลูกปลา มันจะมีลูกของมัน มันจะดำรงเผ่าพันธุ์ของมัน
จิตของเราถ้าทำคุณงามความดี เราจะรู้ถึงคุณงามความดีของเรา ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไม้ใหญ่ นกกามาอาศัย จิตใจที่มีคุณธรรมนะ ทำไมครูบาอาจารย์ของเรานี่เวลาเทศนาว่าการ เทวดา อินทร์ พรหมต้องมาฟังเทศน์ล่ะ.. ดูสิ พันธุกรรมทางจิตเวลาตัดแต่งภพชาติไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ก็เกิดสถานะเหมือนมนุษย์นี่แหละแต่ได้ทิพย์เท่านั้นเอง
เหมือนมนุษย์ มนุษย์เกิดเป็นมนุษย์ใช่ไหม เกิดเป็นเทวดาก็เป็นเทวดาอย่างนั้นนะ แล้วเทวดารู้อะไรล่ะ เทวดาก็รู้สถานะของเทวดา รู้สถานะของพรหม แต่เทวดาหรือพรหมไม่รู้อริยสัจ ไม่รู้จักทุกข์.. ทุกข์ เหตุที่เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ไม่มีทางรู้ ! แล้วเรากอดตำราอยู่ก็ไม่รู้ อ่านท่องจำจนเข้าสมองก็ไม่รู้ ! ไม่รู้ !
ไม่รู้เพราะมันเป็นความจำ ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานะมันถอดมันถอน แม้แต่กอดตำราอยู่นี่ ธรรมของพระพุทธเจ้าวางไว้เนี่ย ที่อุตส่าห์รื้อค้นมาแล้วเรากราบไหว้บูชากันนี่ แล้วก็ได้แต่เปลือกกันไป เวลาเอาทุเรียนมานะเขาแกะเปลือกเอา เอ้า เอาไปกิน เปลือกมึงเอาไป ใครเรียนๆ มานะเอาเปลือกไป ไอ้คนปฏิบัติมันได้กินเนื้อทุเรียน มันได้กินของจริง ไอ้พวกนั้นได้กินแต่เปลือก
เปลือกมันเป็นหนามกินก็ไม่ได้ แต่ภูมิใจนะเพราะเนื้อกินแล้วไม่มีใช่ไหม เปลือกมันถือไว้อยู่นี่ นี่เปลือกทุเรียนไง อ้าว.. ใบประกาศไง กูจบไง แต่มันก็เปลือกไง ทุเรียนนี่เขาเอาไว้ถือโชว์กัน เอวัง